โดยปกติแล้วการเล่น Tight
(Tight หมายถึงการเล่นแบบคัดไพ่เล่น) จะตรงข้ามกับผู้เล่นที่เพิ่งเข้ามาเล่นโป๊กเกอร์ใหม่ๆ ผู้เล่นใหม่ส่วนใหญ่จะพยามเข้าไปดู Flop (Flop หมายถึงไพ่ 3 ใบแรก) ให้ได้บ่อยที่สุด
ผู้เล่นที่มีประสบการณ์อยู่แล้วประมาณครึ่งนึงจะรู้ว่าการเล่น Tight Aggressive ในเกมเล็กๆนั้น เป็นวิธีที่ควรทำ สำหรับผู้เล่นใหม่ที่พยายามที่จะเล่นแบบ Tight ส่วนใหญ่จะล้มเหลว เพราะลืมไปว่า การเล่น Tight ควรจะรวมกับการ Aggressive เข้าไปด้วยเพื่อจะสร้างกำไรได้ในระยะยาว
ผู้เล่นประเภท Tight Aggressive มักจะเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดเสมอ แต่ผู้เล่นหลายคนมักลืมความ Aggressive จนกลายเป็น Tight Passive แทน (ไพ่ดีแต่เล่นอ่อนแอ)
Tight Passive
เป็นผู้เล่นที่คัดเล่น Starting Hand (Starting Hand หมายถึงไพ่บนมือเริ่มต้น) ได้ดี แต่มีจุดที่ผิดพลาดในการ Bet หรือ Raise เพราะพวกเขาจะจำว่า Hand ที่เขามีไพ่ใหญ่นั้นโดน Crack ด้วย Straight (Straight หมายถึงไพ่เรียง 5 ใบ)
เช่น เขามี AA คู่ต่อสู้มี 78 Flop A 5 6 Turn 4 River K หรือแม้กระทั้ง Flush (Flush หมายถึงไพ่สี 5 ใบ)
ผู้เล่นประเภท Tight Passive ส่วนใหญ่ จะไม่ Bet หรือ Raise หากไพ่ของพวกเขาไม่ Nut นี่คือสิ่งที่พวกเขาเข้าใจผิดพลาด การที่จะเล่นโป๊กเกอร์ให้ได้กำไรเยอะๆนั้น จะต้องอยู่บนความเสี่ยงที่จะแพ้ด้วยเช่นกัน
คุณคงจะเคยได้ยินว่า “ฉันจะไม่เคย Raise Preflop แต่ Pocket A ของฉันยังแพ้และเสียอยู่เรื่อย ฉันไม่อยาก Bet จนกว่าจะเห็น Flop” หลังจากนั้น Flop ออกมาเป็น 882 เขาแค่ Check หรืออาจจะ แค่ Call ที่คู่ต่อสู้ Bet มา แล้วพูดว่า “เขาอาจจะมี 8 ก็ได้ ไม่มีเหตุผลที่ต้องไปเสียชิพทิ้ง”
ผู้เล่นเหล่านี้ไม่เข้าใจความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในขณะเล่น ในเมื่อพวกเขามีความเสี่ยงที่จะชนะสูงกว่าความเสี่ยงที่จะแพ้ ซึ่งนั่นคือปัจจัยของการเล่นโป๊กเกอร์ให้ได้กำไรในระยะยาว มันก็จริงที่ว่าพวกเขามีหลาย Pot ที่เสียไป แต่การเล่นโดยถูกต้องอย่างสม่ำเสมอจะทำให้เขามีกำไรในระยะยาวอย่างแน่นอน
การเล่นแบบ Tight Aggressive อาจจะไม่สามารถทำให้คุณได้กำไรแบบเต็มๆได้ในบาง Hand แต่มันสามารถทำให้คุณเป็นคนควบคุม Pot นั้นๆได้ นั่นบอกได้ว่าทำไมการเล่น Tight Passive ถึงอันตรายมาก ไม่เพียงคู่ต่อสู้คาดเดาง่ายและอ่านไพ่ง่าย แต่ยังทำให้ผู้เล่นที่ Aggressive กดดันไปเรื่อยๆจนบางทีเกิดยอมแพ้ไปเอง
โดย Range ไพ่ของทั้งคู่จะเหมือนกันเลยตามตาราง
